วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อนุทินที่2 ตอบคำถามจากบทเรียน


อนุทินที่2
แบบฝึกหัด
1.               ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมาย หากไม่มีจะเป็นอย่างไร
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่อยู่ลำพังโดดเดี่ยวไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องอยู่ร่วมกันภายในสังคม เพื่อพึ่งพาอาศัยกัน ติดต่อ แลกเปลี่ยนกัน ช่วยเหลือกันเพื่อให้ดำรงตนอยู่รอดปลอดภัย แต่การอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันนั้นมักจะมีเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่มีสาเหตุเกิดจากความไม่ลงรอย ความขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท การทำร้ายร่างกาย หรือการก่ออาชญากรรมมากมายจนก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในสังคมซึ่งจากเหตุการณ์เหล่านี้จึงมีความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องสร้างและกำหนดกฎเกณฑ์และกติกาต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้บังคับแก่สมาชิกในสังคม เพื่อควบคุมความประพฤติของสมาชิกให้ปฏิบัติอยู่ในกรอบเป็นไปในทำนองเดียวกัน และเพื่อให้ดำรงตนอยู่ในสังคมภายใต้ระเบียบแบบแผนเดียวกันอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าหากมนุษย์เรานั้นไม่มีกฎหมายรับรองได้ว่าในสังคมนั้นจะเกิดทั้งความขัดแย้ง ความวุ่นวาย ผู้คนไม่เคารพซึ่งกันและกัน สังคมขาดความเป็นระบบ ขาดความเป็นระเบียบ มนุษย์ทุกคนไม่สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างมีความสุขและอาจส่งผลไปถึงความล่มสลายของสังคม


2.              ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายจะเป็นอย่างไร
หากสังคมปัจจุบันไม่มีกฎหมาย สังคมคงไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะกฎหมายคือระเบียบแบบแผนที่กำหนดขึ้นมาไว้เพื่อให้ทุกคนยอมรับและจะต้องเคารพและปฏิบัติตามหากไม่มีการเคารพหรือไม่มีการปฏิบัติตาม สังคมจะต้องเกิดความวุ่นวาย ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน  จะเป็นสังคมแห่งความขัดแย้งไร้ซึ่งความสงบสุข
3.              ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ก.      ความหมาย      กฎหมาย  คำสิ่งหรือข้อบังคับของรัฐ ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลซึ่งอยู่ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ หรือได้รับผลเสียหายนั้นด้วย
ข.      ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
1. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับหมายความว่า กฎหมายนั้นต้องอยู่ในรูปของคำสั่ง คำบัญชา
อันเป็นการแสดงออกซึ่งความประสงค์ของผู้มีอำนาจในลักษณะเป็นการบังคับ เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ มิใช่เป็นการประกาศชวนเชิญเฉย ๆ เช่น ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้ประกาศเชิญชวนคนไทยให้สวมหมวก เลิกกินหมากและให้นุ่งผ้าซิ่นแทนผ้าโจงกระเบน ประกาศนี้แจ้งให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลนิยมให้ประชาชนปฏิบัติอย่างไร มิได้บังคับจึงไม่เป็นกฎหมาย
2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฏฐาธิปัตย์ รัฎฐาธิปัตย์คือ ผู้ที่ประชาชนส่วนมาก
ยอมรับนับถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน โดยที่ไม่ต้องฟังอำนาจจากผู้ใดอีก ดังนี้ รัฎฐาธิปัตย์จึงไม่ต้องพิจารณาถึงที่มาหรือลักษณะการได้อำนาจว่าจะได้ อย่างไร แม้จะเป็นการปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ตามถ้าหากคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหาร เป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่สามารถออกคำสั่ง คำบัญชาในฐานะเป็นกฎหมายของประเทศได้
3. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป หมายความว่า กฎหมายต้องเป็นเรื่องที่เมื่อประกาศใช้แล้วจะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป ไม่ใช่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่ง หรือให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอายุ เพศ หรือฐานะอย่างไรก็ตกอยู่ภายใต้ของการใช้บังคับกฎของกฎหมายอันเดียวกัน (โดยไม่เลือกปฏิบัติ) เพราะบุคคลทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน แม้กฎหมายบางอย่างอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล หรือวางความรับผิดชอบให้แก่คนบางหมู่เหล่า แต่ก็ยังอยู่ในความหมายที่ว่าใช้บังคับทั่วไปอยู่เหมือนกัน เพราะคนทั่ว ๆ ไปที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกฎหมายนั้นก็ยังต้องปฏิบัติตามอยู่เสมอ
4. กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตามแม้การปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกิดจากความไม่เต็มใจที่จะ
ปฏิบัติ แต่หากเป็นคำสั่ง คำบัญชาแล้ว ผู้รับคำสั่ง คำบัญชา ต้องปฏิบัติตาม หากขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดสภาพบังคับของกฎหมาย อันเป็นผลร้ายต่อผู้ฝ่าฝืนคำสั่งนั้น และเป็นที่พึงเข้าใจด้วยว่าผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตาม กฎหมายได้นั้นต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย
5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับเพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์ และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตาม
กฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ (SANCTION) สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง
ค.      ที่มาของกฎหมาย
ที่มาของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร
1. กฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร เป็นระบบที่สืบทอดมาจาก
กฎหมายโรมัน ซึ่งให้ความสำคัญกับตัวบทกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยถูกต้องตามกระบวนการบัญญัติกฎหมาย ดังนั้นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ก็คือกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
2. จารีตประเพณี ในบางครั้งการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จะให้ครอบคลุมทุกเรื่อง
เป็นไปได้ยาก จึงต้องมีการนำเอาจารีตประเพณี มาบัญญัติใช้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรด้วย
3. หลักกฎหมายทั่วไป ในบางครั้งถึงแม้จะมีกฎหมายลายลักษณ์อักษร และกฎหมายจารีต
ประเพณี มาใช้พิจารณาตัดสินความแล้วก็ตาม แต่ก็อาจไม่เพียงพอครอบคลุมได้ทุกเรื่อง จึงต้องมีการนำเอาหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งประเทศอื่น ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางกฎหมาย ได้ยอมรับกฎหมายนั้นแล้ว มาปรับใช้ในการพิจารณาตัดสินคดีความด้วย
ที่มาของกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1. จารีตประเพณี ถือว่าเป็นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
เนื่องจากกฎหมายระบบนี้เกิดจากการนำเอาจารีตประเพณี ซึ่งคนในสังคมยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมานาน มาใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความ
2. คำพิพากษาของศาล จารีตประเพณีใดที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความ
แล้ว ก็จะกลายเป็นคำพิพากษาของศาล ซึ่งคำพิพากษาบางเรื่องอาจถูกนำไปใช้เป็นหลัก หรือเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาตัดสินคดีความต่อ ๆ ไป คำพิพากษาของศาลจึงเป็นที่มาอีกประการหนึ่งของระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
3. กฎหมายลายลักษณ์อักษร ในสมัยต่อ ๆ มาบ้านเมืองเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่จะรอให้
จารีตประเพณีเกิดขึ้นย่อมไม่ทันกาล บางครั้งจึงจำเป็นต้องสร้างกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาใช้ด้วย
4. ความเห็นของนักนิติศาสตร์ ระบบกฎหายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ยังยอมรับความเห็นของ
นักนิติศาสตร์มาใช้เป็นหลักในการตัดสินคดีความด้วย เพราะนักนิติศาสตร์เป็นผู้ที่ศึกษากฎหมายอยู่เสมอ เป็นผู้ที่มีความรู้ ความคิด มีเหตุผล ความเห็นของนักนิติศาสตร์ที่มีชื่อเสสียงและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ย่อมมีน้ำหนักพอที่จะนำไปใช้อ้างอิงในการพิจารณาตัดสินความได้
5 .หลักความยุติธรรมหรือมโนธรรมของผู้พิพากษา ในระยะหลังที่บ้านเมืองเจริญขึ้นสภาพสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป การใช้จารีตประเพณีและคำพิพากษาก่อน ๆ มาเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความอาจไม่ยุติธรรม จึงเกิดศาลระบบใหม่ขึ้น ซึ่งศาลระบบนี้จะไม่ผูกมัดกับจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาของศาลเดิม แต่จะยึดหลักความยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณี ซึ่งเรียกว่ามโนธรรมของผู้พิพากษา(Squity) ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ง.       ประเภทของกฎหมาย 
การแบ่งแยกประเภทของกฎหมาย กฎหมายแบ่งแยกตามข้อความของกฎหมายได้เป็น 3 ประเภท
(1)   กฎหมายมหาชน (Public Law)
(2)   กฎหมายเอกชน (Private Law)
(3)   กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law)

4.               ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่าทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
ทุกประเทศมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเพราะทุกประเทศก็มีความต้องการให้ประเทศของตนมีความสงบ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่เกิดความขัดแย้ง ไม่มีสถานการณ์เลวร้าเกิดขึ้นภายในสังคม อยากให้ทุกคนภายในประเทศดำรงตนได้อย่างมีความสุข
5.              สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย
คือโทษต่างๆในกฎหมาย ถ้าเป็นสภาพบังคับอาญา ได้แก่ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ส่วนสภาพบังคับของกฎหมายแพ่ง ได้แก่การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายนั้นตกเป็นโมฆะหรือโมฆียะ
6.              สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
แตกต่างกันด้วยสภาพบังคับ กฎหมายอาญา ก็มีลักษณะที่เป็นอาชญา ที่ลงโทษผู้ที่ทำผิดที่มุ่งร้ายต่อชีวิต และทรัพย์สินซึ่งโทษพวกนี้มักจะมีการลงโทษให้จำคุก ต้องขังกันไปเช่นฆ่าคนตาย ข่มขืน พรากผู้เยาว์ ค้ายาเสพติด เป็นต้นส่วนกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มักจะเป็นกฎหมายควบคุมผู้กระทำผิดที่มุ่งหวังทรัพย์สิน และศักดิ์ศรีของผู้อื่น บทลงโทษของกฎหมายแพ่งจึงมักจะเป็นการเรียกปรับ หรือสั่งให้ชดเชยค่าเสียหายให้แก่เจ้าทุกข์เป็นหลัก จะไม่มีการระวางโทษคุมขังจองจำ คดีแพ่งได้แก่ การยืมทรัพย์ ฉ้อโกง หลอกลวง มรดก เป็นต้น
7.              ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
  1. ระบบซีวิลลอร์ หรือระบบลายลักษณ์อักษร ถือกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นระบบเอามาจาก “Jus Civile” ใช้แยกความหมาย “Jus Gentium” ของโรมัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่น คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้
2. ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) เกิดและวิวัฒนาการขึ้นในประเทศอังกฤษมีรากเหง้ามาจากศักดินา ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคาว่า เอคควิตี้ (equity) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์ เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นาเอาจารีตประเพณีและคาพิพากษา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้ จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายนี้
8.              ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
กฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายรูปแบบหลายลักษณะ กฎหมายบางฉบับก็มีลักษณะคล้ายกัน บางฉบับก็มีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการแยกกฎหมายออกเป็นประเภทๆ เพื่อสะดวกในการศึกษาค้นคว้าและง่ายต่อการเข้าใจ ในการแบ่งแยกประเภทของสิ่งใด จำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์ในการแบ่งแยก กฎหมายก็เช่นกัน หลักเกณฑ์ที่ใช้แบ่งแยกกฎหมายออกเป็นประเภทขึ้นอยู่ว่าจะยึดอะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งมีหลายเกณฑ์ดังนี้
แบ่งแยกกฎหมายตามลักษณะของการใช้ แบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ
1.กฎหมายสารบัญญัติ (Substantive Law) สาระแปลว่าแกนหรือเนื้อแท้ดังนั้น จึงเป็นกฎหมาย
ที่เป็นแก่นหรือเนื้อแท้ของกฎหมายจริงๆ คือเป็นกฎหมายที่วางระเบียบบังคับแก่การประพฤติปฏิบัติของพลเมืองให้กระทำหรือห้ามมิให้กระทำการใด ตลอดจนกำหนด สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่างๆ ของบุคคลไว้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษในทางอาญาหรือถูกบังคับให้ชำระหนี้ในทางแพ่ง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติป่าไม้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นต้น
2.กฎหมายวิธีสบัญญัติ (Adjective Or Procedural Law) หมายถึงที่กำหนดถึงวิธีดำเนินการทาง
ศาล กล่าวคือหากมีผู้ใดกระทำละเมิดต่อกฎหมายในส่วนสารบัญญัติ การที่จะบังคับให้การที่จะบังคับให้การเป็นไปตามกฎหมายสารบัญญัติที่ถูกละเมิด ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ ต้องผ่านกระบวนการทางศาล ด้วยเหตุผลที่ว่ากฎหมายจะไม่ให้พลเมืองลงโทษกันเอง มิฉะนั้นบ้านเมืองจะไม่มีวันสงบ จึงต้องให้กระบวนการทางการศาล ก็คือกระบวนการกฎหมายวีธีสบัญญัติ เช่น นาย ก. ลักทรัพย์ของนาย ข. ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอันเป็นกฎหมายสารบัญญัติ การที่จะลงโทษนาย ก. จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งจะถือว่าการร้องทุกข์ การจับ การค้น การสืบสวน การฟ้องของผู้เสียหายหรือพนักงานอัยการ วิธีพิจารณาและพิพากษาของศาลตลอดจนการลงโทษ หรือในทางแพ่งเช่น นาย A กู้เงินของนาย B แล้วผิดนัดไม่ชำละหนี้ การที่นาย B จะบังคับให้นาย  A ชำระหนี้กู้แก่ตนก็จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งคือจะต้องบังคับนาย A ต่อศาลส่วนแพ่งให้บังคับนาย A ชำระหนี้เงินกู้แก่ตนก็จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายพิจารณาความแพ่งคือต้องฟ้องบังคับนาย A ต่อศาลส่วนแพ่งให้บังคับนาย A ต่อศาลส่วนแพ่งให้กับนาย ต่อศาลส่วนแพ่งให้บังคับนาย A ชำระเงินหนี้แก่ตน
แบ่งตามกฎหมายตามลักษณะความสัมพันธ์ของคู่กรณี โดยพิจารณาจากตัวบทกฎหมายนั้นว่า
มีลักษณะอย่างไร ทั้งนี้เพ็งเล็งไปถึงความสัมพันธ์ของคู่กรณีว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างใครกับใคร ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
กฎหมายเอกชน (Private Law) หมายถึงกำหมายที่วางระเบียบความเกี่ยวพันระหว่างเอกชน
หรือระหว่างเอกชนกับรัฐ ในฐานะที่รัฐดำเนินการอย่างเอกชนเกี่ยวกับสถานะภาพของบุคคลตาม
กฎหมาย สิทธิและหน้าที่ของเอกชน รวมทั้งระเบียบเกี่ยวกับทรัพย์สินของเอกชน กฎหมายเอกชนที่สำคัญ เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์
กฎหมายมหาชน (Public Law) เป็นกฎหมายที่วางระเบียบเกี่ยวพันระหว่างรัฐกับเอกชน ใน
ฐานะที่รัฐมีอำนาจปกครองเอกชนที่อยู่ในดินแดนของรัฐ กฎหมายมหาชนที่สำคัญ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ  กฎหมายปกครอง กฎหมายอาญา กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยพระธรรมมนูญศาลยุติธรรม
กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) เป็นกฎหมายหรือหลักปฏิบัติที่ยอมรับกันว่าด้วย
รัฐและความเกี่ยวพันระหว่างรัฐ รวมทั้งการเกี่ยวพันระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจะเห้นว่าไม่มีตัวบทกฎหมายระหว่างประเทศบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแม้แต่ฉบับเดียว แต่จะเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ถือปฏิบัติมา หรืออย่างมากก็เป็นเพียงสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างประเทศ ดังนั้นกฎหมายประเภทนี้จึงเป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศที่ถือกันมาเท่านั้น ซึ่งกฎหมายประเภทนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สาขา คือ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล  กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
แบ่งกฎหมายตามลักษณะเฉพาะของกฎหมายลายลักษณ์อักษร ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้
กฎหมายระบบซีวิลลอร์ ดังนั้นกฎหมายส่วนใหญ่จึงเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร แต่มีอยู่
หลายประเภท ทั้งนี้เนื่องจากมีองค์กรที่มีอำนาจในการตรากฎหมายแตกต่างกัน ซึ่งโดยปกติแล้วรัฐสภาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติจะมีหน้าที่โดยตรงในการตรากฎหมายลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้บังคับความประพฤติของพลเมือง แต่ก็มีบางกรณีที่องค์กรอื่นที่มีอำนาจในการตรากฎหมายลายลักษณ์อักษรออกใช้บังคับได้ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติได้แก่
1.รัฐธรรมนูญ
2.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
3.พระราชบัญญัติ
4.ประมวลกฎหมาย
5.กฎมณเฑียนบาล
กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ออกโดยฝ่ายบริหารได้แก่
1.พระราชกำหนด
2.พระราชกฤษฎีกา
3.กฎกระทรวง
4.ประกาศกระทรวง , ประกาศของทางราชการที่ออกตามกฎหมายบางฉบับ
กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ออกโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
1.ข้อบังคับจังหวัด
2.เทศบัญญัติ
3.ข้อบังคับตำบล
4.ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
5.ข้อบัญญัติเมืองพัทยา
นอกจากนี้ยังมีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ออกโดยฝ่ายตุลาการ เช่น วิธีพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พศ.ศ.2549 ตามมาตรา 35 วรรคสาม กำหนดให้เป็นไปตามที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้น
9.              ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร มีการแบ่งอย่างไร
ลำดับชั้นของกฎหมายหรืออีกนัยหนึ่งคือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันของกฎหมายแต่ละฉบับนั้น พิจารณาได้จากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย หมายความว่ากฎหมายแต่ละฉบับจะมีชั้นของกฎหมายในระดับนั้น  ให้พิจารณาจากองค์กรที่ออกกฎหมายฉบับนั้น
การจัดแบ่งลำดับชั้นของกฎหมายไทยสามารถจัดแบ่งลำดับชั้น  ออกเป็น  7  ประเภท  ดังนี้
1.  รัฐธรรมนูญ  เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  กฎหมายใดขัดแย้งไม่ได้  โดยจะมีเนื้อหา
เกี่ยวกับการใช้อำนาจอธิปไตย  ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมือง  สิทธิเสรีภาพของประชาชน
2.  พระราชบัญญัติ  ประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น
3.  พระราชกำหนด  เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของ
คณะรัฐมนตรี ตามบท บัญญัติในรัฐธรรมนูญใช้ในกรณีจำเป็นรีบด่วนหรือเรื่องที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ  ความปลอดภัยของประเทศ  แต่ต้องเสนอต่อรัฐสภาโดยเร็ว
4.  พระราชกฤษฎีกา  เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ตามคำแนะนำของ
คณะรัฐมนตรี  เพื่อกำหนดรายละเอียดตามพระราชบัญญัติที่กำหนดไว้
5.  กฎกระทรวง  เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีตราขึ้นผ่านคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการให้เป็นไป
ตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด
6.  ข้อบังคับหรือข้อบัญญัติ เป็นกฎหมายขององค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น เทศบาล
กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เป็นต้น
7.  ประกาศคำสั่ง  เป็นกฎหมายเฉพาะกิจ  เช่น พระบรมราชโองการ ประกาศคณะปฎิวัติ 
คำสั่งหน่วยงานราชการ  เป็นต้น
10.       เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายเหตุผลว่า รัฐบาลกระทำผิดหรือไม่
เป็นการกระทำที่ผิด รัฐบาลได้มีการทำร้ายร่างกายถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน เพราะประชาชนนั้นมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องสิทธิของตน แต่รัฐบาลนั้นกระทำเกินกว่าเหตุ
11.       ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
กฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยการศึกษาคือ จะเป็นกฎหรือคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจได้ตราขึ้นบังคับใช้
12.       ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครู จะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง

มีผลกระทบ หากในอนาคตเมื่อได้ประกอบอาชีพเป็นครูแล้วหากวันใดเกิดมีเรื่องราวเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้กฎหมายเลยมีความเป็นไปได้ว่าเราจะไม่สามารถหาแนวทางแก้ไขปัญหาหรือวิธีการดำเนินการเรื่องราวนั้นๆได้เลยจึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องเรียนรู้และศึกษาไว้บ้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น